ปริมาณการเติมน้ำมันรถของแต่ละคน น่าจะขึ้นอยู่กับกำลังทรัพย์ในช่วงเวลานั้นๆ ใช่ไหมครับ อย่างช่วงที่ไม่ค่อยมีกำลังมากนักก็อาจจะเติมแค่ครึ่งถัง แต่ถ้าช่วงไหนมีกำลังทรัพย์มากหน่อย ก็อาจจะตัดสินใจเติมเต็มถังไปเลย
แต่คุณเคยตั้งคำถามในใจกันบ้างไหมครับว่า… “ปริมาณน้ำมันรถที่เติมแต่ละครั้ง มีผลกับรถยนต์อย่างไรบ้าง? วันนี้แอดมินมีเกร็ดความรู้เล็กๆ น้อยๆ ตรงนี้มาฝากกันครับ
เติมน้ำมันครึ่งถัง
การเติมน้ำมันครึ่งถังเหมือนจะช่วยประหยัดเงินให้เราได้ แต่อันที่จริงนั้นการเติมน้ำมันครึ่งถังจะส่งผลเสียต่อ ‘ปั้มติ๊ก’ (ชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่ดูดน้ำมันจากตัวถังไปยังเครื่องยนต์) เพราะปั้มติ๊กต้องสูบน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำเข้าไปในเครื่องยนต์ ทำให้อุณหภูมิของปั๊มติ๊กสูงขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นปั้มติ๊กถูกออกแบบมาให้ทำงานโดยมีน้ำมันรถห่อหุ้มเพื่อช่วยระบายความร้อน หากปริมาณน้ำมันในถังน้อยเกินไปก็จะห่อหุ้มปั้มติ๊กไม่ได้ ทำให้ต้องทำงานในสภาวะที่มีอุณหภูมิสูงตลอดเวลาจึงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น
เติมน้ำมันเต็มถัง
การเติมน้ำมันเต็มถังก็ไม่ใช่เรื่องดีนะครับ เพราะถึงแม้จะช่วยลดการเสื่อมสภาพของปั้มติ๊กได้มากกว่าการเติมครึ่งถัง แต่ไอระเหยของปริมาณน้ำมันที่มากเกินไปจะทำให้ระบบเครื่องยนต์มีปัญหา และอาจมีน้ำมันไหลซึมออกมาเปื้อนตัวรถ ทำให้สีรถเสียหายได้ครับ
ปริมาณการเติมน้ำมันที่ดีที่สุด
การเติมน้ำมันประมาณ สามส่วนสี่ ของถังน้ำมัน คือ ปริมาณการเติมน้ำมันที่เหมาะสมที่สุด เช่น รถยนต์ที่มีความจุ 40 ลิตร ก็เติมน้ำมันให้อยู่ในระดับ 30 ลิตร (เกินได้เล็กน้อย เช่น 31-33 ลิตร) เพราะเป็นระดับที่สามารถห่อหุ้มปั้มติ๊กไม่ให้ร้อนเกินไปได้ และตัวน้ำมันไม่ปล่อยไอระเหยออกมามากเกินไปจนส่งผลต่อระบบเครื่องยนต์นั่นเองครับ
เวลาที่เหมาะสมในการเติมน้ำมัน
สิ่งที่น่าสนใจและสำคัญไม่แพ้ปริมาณน้ำมันที่ต้องเติม คือ ปริมาณน้ำมันรถที่เหลืออยู่เพราะหลายคนไม่รู้ว่าควรเติมน้ำมันตอนไหนดีที่สุด... แต่จากข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญก็พอทำให้สรุปได้ว่า เราควรเติมน้ำมันรถในช่วงที่น้ำมันเหลือประมาณ หนึ่งส่วนสี่ ของถัง เพราะจะช่วยถนอมและรักษาเครื่องยนต์รถให้ใช้ได้นานขึ้นนั่นเองครับ
เพียงเท่านี้เวลาเติมน้ำมันแต่ละครั้งก็ง่ายขึ้นแล้วใช่มั้ยละครับ เพราะไม่ต้องคิดหนักแล้วว่าครั้งนี้จะเติมเท่าไหร่ดี
ขอบคุณที่มา: เว็บไซต์ kmotors และ car.kapook